วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สบท.ร่วมมือมูลนิธิลุ่มน้ำแม่คำ ส่งเสริมสิทธิผู้บริโภคฯ กลุ่มชนเผ่า

วันที่ 18 มิถุนายน 2552  ทางสบท.โดย ผอ.ชาญวิทย์ โวหาร ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งเครือข่าย เข้าพบ พ่อหลวง ธีรวัฒน์ พิทักษ์ไพรศรี มูลนิธิลุ่มน้ำแม่คำ  เพื่อปรึกษาหารือ แนวทางการส่งเสริมสิทธิผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม และสิทธิการเข้าถึงบริการโทรคมนาคม ของกลุ่มชนเผ่า ในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่คำ ซึ่งได้ข้อตกลงว่า จะทำความร่วมมือดำเนินโครงการเสริมสร้างการคุ้มครองผู้บริโภคกลุ่มชาติพันธ์ในพื้่นที่ลุ้มน้ำแม่คำในจังหวัดเชียงราย รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบต่อไป

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

บทเรียนเครือข่ายความรู้ ฟื้นฟูห้องราชดำเนิน

      บทเรียนที่จะเสนอนี้ เป็นบทเรียนที่ได้จากการติดตามข่าวสาร ในช่วง
เหตุการณ์วิกฤตในกรุงเทพ ฯ  เป็นบทเรียนของเครือข่ายความรู้
ที่จะช่วยหาทางออกในการทำงาน ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นข้อคิดในการทำงาน
คุ้มครองผู้บริโภคของพวกเราครับ  
     เหตุการณ์ในวันที่ 13 เมษายน ทำให้ผม ติดตามข่าวสาร ทั้งสื้่อ โทรทัศน์ ทุกช่อง กดกันรีโมทแถบพัง เปิดเน็ต refresh ข่าวกันหลายรอบ 
พยายามตามสถานการณ์รอบด้านมากที่สุด
สำหรับเน็ตแล้ว ก็เอียงหน่อย ตามที่ web  ผู้จัดการ ครับ
ไทยรัฐก็เปิดบ้าง แต่ ไม่ค่อยคุ้นกับหน้าตา เลย ไม่ค่อยได้เปิด
จนช่วงบ่ายๆสถานการณ์เรื่มดีขึ้น ก็มีโอกาสได้เข้าไปเช็คในwebboard
pantip ห้องราชดำเนิน 
ปกติห้องราชดำเนิน ที่ตัวเองเคยเข้าไปอ่าน ก่อนหน้านี้ 
จะเป็นห้อง ที่การโต้ทางการเมืองกันอย่างรุนแรง และเป็นห้อง
สมาชิกส่วนใหญ่ถูกมองว่าเอียงไปทางเสื้อแดง 
จนทำให้กลุ่มสมาชิก บอร์ดของหนังสือพิมพ์ผูั้จัดการ มีการโพส ว่าที่นี่
เป็นเขตปลอดสีเหลือง 
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใน webboard นี้ ในวันที่ 13 นัั้น 
กลับ ผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็น โต้กลับเสื้อสีแดง  อย่างมาก
มากเสียจน ที่ใครๆไม่ชอบเสื้อแดง นึกว่า เข้าห้องผิด ต้องดู url ถูกหรือเปล่า
ซึ่งก็ ใช่นะ ซึ่งการเถียงกัน ก็มีการว่าเสื้อแดงที่ทำเนียบบิด เบือน ข่าว บ้าง
แถ (คำนี้ใช้โต้ตอบ กลุ่้มเชียร์สีแดง ที่ให้เหตุผล โต้ต้อบว่ารัฐบาล สร้างสถานการณ์บ้าง ว่าเสื้อแดงที่ออกไปเป็นตัวปลอมบ้าง)

     ความคิดเห็นที่ 23   

    ไม่เบื่อเหรอคะ

    แถเรื่องเดิมๆ โพสแบบนี้กันไม่รู้กี่ทู้แล้ว 

    สมัยนี้ไม่ใช่ยุคสิบสี่ตุลานะคะ มันไฮเท็ค โลกาภิวัฒน์แล้ว ข่าวน่ะปิดยากอย่างกับอะไร คลิปมือถือเอยอะไรเอย ขึ้นหน้าเว็บเร็วติดจรวด ไม่ต้องรอข่าวทีวีก็ได้ ชาวบ้านเขาไม่โง่ค่ะคู๊ณณณณณณณ

    อีกอย่าง 

    มีอะไรมาพิสูจน์ว่าข่าวที่ได้ไม่จริงก็งัดออกมาเลยค่ะคุณขา

    อยากเห็นเหมือนกัน

    แล้วไม่เอานะคะ คลิปตัดๆต่อๆ แบบว่าเห็นมาเยอะแล้ว

    รูปคนเจ็บที่เอามาลงก็เหมือนกัน รูปเดียว รูปเดิม คนเจ็บคนเดิม น่าเบื่อมากๆๆๆๆๆ ก็ท่าปั๊มหัวใจสุดฮิต คุณหมอเขาแค่บอกว่าคนเจ็บเสียเลือด แหมพี่อุตส่าห์ปั๊มหัวใจ คงภาวนาให้เขาตายสินะ จะได้มีข้อกล่าวหาทหารได้

    ยอมรับความจริงเถอะ 


    จากคุณ : sandseasun    - [ วันเนา (14) 02:38:04 A:58.8.53.92 X: ] 

 
ซึ่งสำหรับผมที่ไ ม่ชอบพฤติกรรมแดงแล้ว ก็ใจจดใจจ่อ อ่าน บอร์ดต่างๆ ที่ปรากฏขึ้น จนถึง ตี 3 ของวันที่ 14 (มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจ อย่างไรไม่รู้)
แ ต่มีปรากฏการณ์ที่อยากให้มอง ในสิ่งที่เกิดขึ้น
1 คนที่เข้ามาโพสในช่วงวันดังกล่าว ส่วนใหญ่ก็เป็นสมาชิกpantip นั่นแหละ แต่พวกเขาบอกว่าอยู่ในห้องอื่น วันนี้สุดทน เลยต้องเข้ามาในห้องราชดำเนิน  (พูดง่าย ส่วนใหญ๋ก็อยู่บ้านข้างๆ ที่พบก็คือ คนที่มาจากห้องกล้อง ห้องเฉลิมไ ทย เ ป็นต้น) 
ดังตัวอย่างคำพูด


การถกเถียงเรื่องภาพ ในกระทู้ เรื่องภาพ และคลิป
ก็มีการเถียงกันในเรื่องรูปภาพ จนมีสมาชิก จากห้องกล้องนำความรู้ ที่มีการพูดคุยกันห้องอื่น มีวิเคระาห์ประเด็นในกระทู้นี้ 

    คห.42 คุณธนูไฟ ครับ

    เอ่อ แนะนำตัวนิดนึง นะครับ ผมมาจากห้องกล้องน่ะครับ มีโปรแกรมนึงที่ชื่อว่า Opanda

    ใช้ดู Exif ของรูปที่ถูกบันทึกมาได้ว่า บันทึกภาพจากกล้องอะไร วันที่เท่าไหร่

    ตามรูปที่คุณ Post ไว้ ผมเห็นว่าบันทึกไว้ด้วย กล้องมือถือ ปี 2007

    เอ ... ปีนี้ ปีอะไรแล้วเหรอครับ


จากปรากฏการณ์ที่คนห้องอื่นๆเขามามีส่วนร่วมในห้องนี้ มากขึ้น ทำให้เห็นว่า ในห้องชุมชนความคิดเรื่องการเมือง แห่งนี้ ไม่ถูกเป็นห้องต้องห้าม สำหรับกลุ่มเสื้อสีแดงต่อไป  หากแต่เป็นห้องที่สมาชิกที่โลดแล่นในชุมชนอื่น เข้ามาให้ข้อมูลให้ความคิดเห็น ต่อสถานการณ์การเมือง  โดยที่พวกเขาไม่ได้มาแค่ การโพสระบายคววามรู้สึกร่วมต่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน  แต่กลับเอาความรู้ที่ติดตัวของตัวเองที่ใช้ในห้องอื่นๆมาดวย จนทำให้คนที่เข้ามาในห้อง 2--3วันนี้ รู้สึกห้องราชดำเนิน น่าจะเป็นห้องที่เขาสามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ได้บ้าง ไม่ได้เป็นห้องที่ถูกคลอบงำโดยกลุ่มเอียงไปข้างใดข้่างหนึ่ง เท่านั้น ดังคำพูดที่ว่่า 
    มาเป็นเจ้าของบอร์ดราชดำเนินด้วยกันเถอะ  

    คือสนใจการเมืองเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่มากมายนัก  อาจจะไม่ได้โพสหรืออะไรหรอก ก็แค่อยากอ่าน  แต่ก็อยากเห็นทัศนะที่หลากหลาย ปราศจาก อคติ หรือฉันทาคติ ที่มากเกินไป  ไม่ใช้คำหยาบมากนัก ไม่ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ที่เห็นไม่ตรงกับเรา ไม่ผลักดันให้คนที่เห็นต่างเป็นฝ่ายตรงข้าม ให้เกียจในตัวตนของทุกคน
        จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ  หลังจากวันนี้พวกเรามาใช้บอร์ดนี้กันเยอะเยอะ  และแสดงความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์
        เพื่อว่าทุกคนที่เป็นชาวพันทิพ จะได้ใช้บอร์ดนี้ร่วมกัน อย่างสบายใจ

    จากคุณ : kru_pn2   - [ วันเนา (14) 17:37:02 A:118.173.185.242 X: ]


บทเรียนที่ได้สำหรับตนเองคือ
    1 เครือข่ายความรู้ในการทำงานหลากหลายสาขาสามารถนำมาร่วมกันได้ โดยจุดเริ่มต้นที่เป็นอารมณ์ร่วม ในที่นี่้คืออารมณ์ร่วมในความไม่พอใจต่อการกระทำของเสื้อแดงจนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในห้องราชดำเนิน ที่มีเจ้าที่ ที่แรงมากๆ
   2 การปรากฎของคนจากห่องชุมชนความคิดอื่นๆ ในห้องราชดำเนิน ไม่ได้มากแค่โพสเพื่อระบายความรู้สึกเท่านั้น แต่เมื่อได้พูดคุยไปมีประเด็น ให้อภิปรายกัน เขาก็นำความรู้ ที่ติดตัว มา แลกเปลี่ยน ในกระทู้เหล่านั้นด้วย อย่างเช่น สมาชิกจากห้องกล้อง นำความรู้เรื่องการพิสูจน์ภาพ มาใช้อภิปรายในหัวข้อ ภาพคนถูกยิงสมาชิกจากกล้องก็แ นะนำโปแกรมดูวันที่ถ่ายภาพ มาประกอบการวิเคราะห์ 
ซึ่งทำให้เห็นประเด็นใหม่นอกจากการเถียงกันในมุมทางการเมืองอย่างเดียว (ถ้าเป็นคนเดิมๆ ในมุมการเมือง ก็จะเถียงกันว่า มีภาพมากกว่านั้น ทหารไม่ถ่าย การบิดเบือนสื่อบาง ถ้าเเ ป็นสถานการณ์ปกติ เราก็จะไม่เห็นมุมเหล่านี้)  
      3 การอภิปรายโดยนำความรู้ด้านอื่นๆ ทำใ ห้เห็นมุม มองใ หม่ๆ น่าสนใจขึ้น ไม่ตกอยู่ในภาวะบรรยากาศ เดิม ๆ(สีอะไร ใครจ้างมา อคติ เป้นต้น) แต่เป็นการจุดประเด็น การนำความรู้ มาวิเคราะห์ ประเด็นกัน ทำให้เห็นวิเคราะห์ตัวละครได้มากขึ้น ลึกซึ้ง อคติก็เริ่มน้อยลง อย่างปรากฏการณ์นี้ ก็เห็นว่า มีการต่อสู้กันโดยนำหลักฐาน ภาพ คลิป ที่เกี่ยวข้อง มาพิสูจน์ ข่าวที่ตัวเองโพสกัน (ซึ่งในสถานการณ์ ฝ่ายที่ไม่ชอบเสื้อแดงเป็นต่อ มาก เพราะมีหลักฐานภาพ ทั้งจากสื่อต่างๆ และความรู้สึกที่คนส่วนใหญ่ เห็นพ้องกัน คือ เสื้อแดงทำเกินไป) 
4 เมื่อเข้ามา หลายๆ คนรู้สึก ว่า ห้องราชดำเนิน นี้ มีโอกาสที่จะสดใสได้กว่าเดิม มีหนทาง ที่จะได้อภิปรายการเมือง บนหลักการ และเหตุผล อย่างจริงจัง ไม่ใช่การโต้เถียงด้วยอารมณ์ ความคลั่งไคล้ทางการเมือง  ความเชื่อในอุดมการณ์แต่ละฝ่าย จนทำให้ ดุเดือด กันจนลืม ข้อเท็จจริง และทางออกที่ควรจะเป็นไป  แต่การมาของสมาชิกจากห้องอื่น พร้อมความรู้ที่ติดตัว มานั้น เช่น ความรู้่เรื่องการพิสูจน์ภาพ ความรู้ ทางการคำศัพท์ทางการเมือง ภาษาที่ใช้ (จริงๆ น่าจะเป็นคนห้องนี้ที่น่าจะเชี่ยวชาญแต่ไม่ถูกนำมาแสดงไว้ อาจเป็นเพราะ การนำเสนอที่มีอคติ จนทำให้ไม่เห็นประเด็นที่ควรต้องแก้ไขกัน แต่การเข้ามาของคนอื่นพร้อมความรู้ มุมมองต่อประเด็นๆนั้นกลับทำให้ เห็นสื่งที่น่าสนใจ ในประเด็นเดิมๆ จนอาจนำไ ปสู่การหาทางออกได้ 

ทั้ง 4 ประเด็นที่เห็น ทำให้ได้บทเรียน สำหรับตนเองในการทำงานผู้บริโภค คือ
ในบางเรื่องเราควรหา คนอื่น เข้ามาร่วมอภิปราย กันนอกจาก ผู้บริโภค กับผู้ประกอบการเท่านั้น  มันก็จะมีประเด็นใหม่ๆ ที่น่าสนใจ หรือทางออก สำหรับ เรื่องที่ถกเถียงกัน
ไม่เช่นนั้น ก็ไม่มีทางออก เพราะ ที่เถียงกันอยู่ บนพื้นฐาน หลักการแบบสุดขั้วของแต่ละฝ่าย ผู้บริโภค ก็มุ่งเน้นเรื่องสิทธิ   ผู้ประกอบการก็เน้นผลจากการทำธุรกิจ ซึ่งก็การเถียงกัน อภิปรายกัน บนหลักการ ของแต่ลฝ่าย แล้วกี่เรื่องๆ ก็ มีตัวละครหลัก อยู่สองฝ่ายนี่แหละ ทำใ ห้ไม่น่าสนใจ  
       แต่ถ้าเรา มองหาตัวแทนอื่นๆ ที่น่าสนใจ เข้ามาได้โดยเริ้มจาก การสร้างอารมณ์ร่วม ในประเด็นปัญหาเดียวกัน แล้วเห็นว่า หน่วยงานของเราน่าจะเป็นทางออกในการแสดงความคิด ความรู้ที่เขามีได้  เขาก็เข้ามา เราก็ต้องจัดบรรยากาศ ให้เขาได้มีช่องทาง มีที่ยืน อย่างเช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มคนพิการ กลุ่มชนเผ่าต่าง เราก็จะได้เห็นว่า มันมีนะ ประเด็นที่น่าสนใจ เช่นการเข้าถึงบริการ การใช้อย่างเท่าทัน การใช้เทคโนโลยี สำหรับการพัฒนางานพัฒนาสังคม  อันนี้ก็จะทำให้ ตัวละครเดิมที่ตั้งป้อมกัน มีมุมที่เข้ามาทำงานร่วมกันได้้  ไม่น่าเบื่อ บนประเด็นเดิมๆ และการทำแบบนี้ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง สร้างเป็นเครือข่ายขึ้นมา ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่เห็น สื่งที่จะเกิดขึ้นดังที่หวังไว้  
ทั้งหมดนี้ก็เป็นบทเรียนที่ นำมาแลกเปลี่ยนในการทำงานครับ


วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

ลดความคิดสุดขั้วหนทางยุติความขัดแย้ง

ท่ามกลางสถานการร์บ้านเมืองที่รุนแรง จาก Mob ของผู้อกหัก
นำไ ปสู่การบุกที่ประชุมอาเซียน ทำลายภาพพจน์ประเทศย่อยยับ
ยังไม่รวมเผารถเมล ปิดถนน ทั้งหลาย ความขัดแย้งในสังคม
แผ่ซ่านอย่างรวดเร็ว จนทำให้คิดไปไกลว่ามันจะจบอย่างไร
ในช่วงว๊๊าวุ่นวันสงกรานต์วิปโยคนี้ ได้มีโอกาสหยิบหนังสือดีๆมาอ่านๆ
(ซื้อมานานแล้วล่ะ ) หนังสือชื่อ Thought ของสำนักพิมพฺ์สารคดี
ซึ่งได้รวมบทสัมภาษณ์นักคิดหลายท่าน ทั้ง นายกคนปัจจุบัน  อ.ดร.เอนก
ฮิวโก้  ศ.ดร.ธงชัย ,พระธรรมปิฏก  ท่านผู้หญิงสุธาวัลย์  
หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ตั้งแต่ปี2548  มี นายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์เป็นบรรณาธิการ 
 ตนเองอ่านส่วนหนึ่ง ก็พบว่า มีข้อคิดจากอ.เอนก ที่กล่าวถึงความขัดแย้งในสังคมไทยไว้น่าสนใจ เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน  จึงขออนุญาต ยก เอามาให้อ่านกัน

นักข่าว :ทำไ มช่วงหลังสังคมไทยมีความคิดสุดขั้วมากขึ้น แบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจนจนหาทางออกของปัญหาไม่ค่อยได้ 
อ.ดร.เอนก  (เ มื่อปี 2548) เดิมความคิดของคนไทยไม่สุดขั้ว คนไทยไม่เชื่อเรื่องการต่อสู้ทางความคิดการต่อสู่้ที่เอาชนะ ชี้ว่าอะไรสะอาดบริสุทธิ์ อะไรมีมลทิน คนไทยเราเน้นประสานความคิดต่างๆ ให้เข้าด้วนกัน เป็นความคิดแบบฮินดู แบบพุทธนั้นเอง คุณจะเห็นว่าพอฮินดูหรือพรามณ์เข้ามาในสุวรรณภูมิ ก็ไม่ได้ทำลายพวกนับถือผีนับถือเจ้า พอพุทธเข้ามาก็ไม่ทำลายพรามณ์ ไม่ได้ทำลายผี ทำลายเจ้า มันจะอยู่ด้วยกันได้ นี่เป็นรากฐานเดิมของคนไทย 
     ในขณะที่ฝรั่ง ยิว คริสเตียน เชื่อเรื่องการต่อสู้ระหว่างความคิดที่ผิดกับถูกการชำระความคิดที่ผิดด้วยความคิดที่ถูก ถ้าจะเชื่อความคิดอะไร ก็เชื่อความคิดนั้นทั้งระบบ แต่คนไทยจะมีลักษณะเชื่อไอ้นั้นนิด ไอ้นี่หน่อย เอามาจากทุกความคิด คือประนีประนอมนั่นเอง เอาของที่ไม่ควรจะประสานกันได้ก็มาประสานกันได้ เดิมสังคมไทยเราเป็นแบบนี้ 
     ครั้นเราไปศึกษาจากตะวันตกก็ซึมซับวิธีคิดแบบตะวันตกซึ่งมีพื้นฐานมาจากศาสนายิว คิสเตียน เป็นสายธารความคิดที่เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวผมเคยเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์ เคยสงสัยว่าทำไมเขาต้องมาบอกว่ามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นผมก็เข้าใจว่าเขาคงหมายความว่าพระเจ้าองค์อื่นๆผิดทั้งนั้นหรือถึงถูกก็ถูกไม่จริงเท่ากับพระเจ้าของเรา ครูคริสต์บางคนจะไม่ไหว้พระสงฆ์จะไม่สนับสนุนให้นักเรียนเคารพวิญญาณบรรพบุรุษ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริงเป็นปรัชญา เป็นวิธีคิดที่แฝงอยู่ในวิชาการตะวันตก นักศึกษาไทยที่ไปเรียนเมืองนอกหรือเรียนวิชาการสมัยใหม่ก็เริื่มเกิดความคิดเรื่องถูกกับผิดอะไรต่างๆ มากขึ้น การคิดแบบประนีประนอม แบบประสานประโยชน์น้อยลง พากันดูถูกว่า เป็นความคิดที่ไม่เป็นระบบ ไม่จริงจังเ เอาเรื่องต่างๆมาปะปนกัน ขณะเดียวกันก็พยายามไปหาความรู้แก่นแท้ที่เราคิดว่าถูกต้องที่สุด เรามักหาความรู้ัที่ถูกต้องที่สุดเรามักหาความรู้ที่ถูกต้องมากที่สุดมาตลอด  เริ่มจากความคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ เห็นว่ามันสู้รัฐสังคมประชาธิปไตยไม่ได้ สู้รัฐสังคมนิยมแบบที่รัฐเป็นผู้นำอย่างสินเชิงไม่ได้ บางคนถึงขั้นที่เหวี่ยงไปเวียงมาสุดขั้ว อะไรก็สู้อนาธิปไตยไม่ได้ นั้นก็ต้องไม่มีรัฐเลย  อะไรแบบนี้ มันเป็นคววามคิดแบบแข่งขันกันต่อสู้ระหว่างความคิดที่ถูกกับไม่ถูก 

 อ่านถึงตรงนี้ก็ เอ่อ ใช่เลย สถานการณ์ปัจจุบัน เราสุดขั้วกันเกินไปหรือเปล่า สุดขั้วเพราะได้ข้อมูลกันผิดๆ ใส่กันเข้าไป อะไรเป็นประโยชน์ของตนเอง ก็ใส่เข้าไปให้กันสุดขั้วไปเลย บอกว่า รัฐบาลไม่ชอบธรรม ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (โดยยกเว้นข้อมูลว่า ตอนนั้นประชาชนเขาไม่เอาพรรครัฐบาลตอนน้น ยกเ ว้นการให้ข้อมูลว่าคนที่เป็นตัวเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องดูเหมาะที่จะเป็นนายกหน่อย ไม่ใช่เอาใครก็ได้)  ผมคิดว่า พอเราเอาข้อมูลไปให้ไม่ครบ ในขณะที่ผู้รับสารก็ถูกอยู่นภาวะอารมณ์ ที่ไม่ไตร่ตรองแล้ว ก็จะไปกันใหญ่
       นี่้ยังไ ม่รวมสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ม๊อบไปทำลายการประชุมอาเซียน ปิดถนน สร้างความเดือดร้อนให้คนทั่วไป ก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย ทหารออกมาเคลียร์ทางก็บอกว่าทำร้ายประชาชน โดยไม่ดูว่าประชาชนเหล่านั้นทำอะไรไว้บาง ถ้าประชาชน ประท้วงกันในขอบเขต ไม่ทำร้ายคนอื่น ทหารทำอย่างนั้นก็ว่าไป แต่นี่ ปิดถนน ทำร้ายนายก ทำลายสถานที่ต่างๆ อย่างนี้ก็ต้องว่าไปตามเนื้อผ้า จะมาเรียกร้องประชาธิปไตยโดยทำลายผู้อื่นไม่ได้ ต้องเ ป็นประชาธิปไตยแบบพอดี จะเอากันไปถึงไหน 
ยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์ เดี๊ยวจะสุดขั้วไปเสียเอง ก็เอามาแลกเปลี่ยนกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

เริ่มต้นเรียนรู้

ขอต้อนรับสู่ blog สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
สำหรับผู้ทำงาน คุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม